มาดูกันว่าอะไรคือปัญหาหลัก ที่พบเห็นอยู่บ่อยๆ ในร้านดอกไม้ เริ่มจาก
- ผู้ประกอบการไม่รักงานดอกไม้จริง
ก่อนเปิดร้านก็ว่าตัวเองชื่นชอบพอสมควร แต่พอทำเข้าจริงๆ งานต่างๆ ที่สุมสารพัดอยู่ในร้าน ไหนจะวิ่งไปซื้อดอกไม้ และอุปกรณ์อื่นๆ หน้าร้านก็ต้องจัดเปลี่ยนรูปแบบบ่อยๆ เพื่อดึงดูดผู้คนที่ผ่านไปมา ไหนจะต้องตามเทรนด์ให้ทันอีก แล้วยังมาเจอลูกค้าจู้จี้จุกจิกเหลือเกิน ซึ่งคนที่ไม่ได้รักดอกไม้จริงและไม่ชอบงานจุกจิก จะไม่รู้สึกสนุกกับงานที่ทำต่อไป
- เจ้าของร้านจัดดอกไม้ไม่เป็น แถมเจอลูกจ้างประเภทคอยคดโกงสูบเลือด
ในกรณีนี้เจ้าของร้านดอกไม้อาจไม่มีเวลามาดูแลกิจการด้วยตนเอง โดยเฉพาะเจ้าของร้านที่จัดดอกไม้ไม่เป็นด้วยแล้ว เปรียบเสมือนกับคุณต้องยืมจมูกคนอื่นหายใจอยู่ตลอดเวลา ถ้าได้ลูกจ้างที่ซื่อสัตย์สุจริตก็ถือว่าโชคดีไป แต่หากโชคร้ายได้ลูกจ้างช่างจัดดอกไม้ที่แม้จะมีฝีมือเพียงใด แต่ทำตัวเป็นเหลือบริ้นคอยกินเลือดเจ้าของด้วยการลงบัญชีสารพัดรายการที่สูงกว่าความเป็นจริง หรือนำรายได้เข้ากระเป๋าโดยที่เจ้าของร้านไม่มีวันรู้ พวกนี้จะมีเทคนิคการโกงส่วนตัวได้อย่างแนบเนียน ฉะนั้นถ้าจะเปิดร้านต้องทำเอง หรือหากไม่ลงมือเองก็ต้องคุมได้
- ทุนไม่พอ สายป่านไม่ยาว
นับเป็นเรื่องที่นักลงทุนหน้าใหม่คิดไม่ค่อยถึง เพราะมั่วคิดแต่ว่ามีเงินลงทุนเท่าไหร่ก็เอามาลงให้หมด ขนซื้อดอกไม้ทั้งไทยและเทศมาไว้เต็มตู้แน่นไปหมด เพียบพร้อมด้วยวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ทั้งที่จำเป็นและไม่จำเป็น และก็จะภูมิใจที่ร้านดอกไม้ของตนมีทุกอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด เงินจึงไปจมกับสิ่งที่ไม่จำเป็นนานเกินไปหากเปิดแล้วขายดีเป็นเทน้ำเทท่าก็ดีไป แต่ถ้าต้องใช้เวลาให้ลูกค้ารู้จักเรา ซึ่งอาจกินเวลาหลายเดือน จะทำให้เงินหมุนเวียนสะดุดได้ ทางที่ดีควรค่อยเป็นค่อยไป สร้างฐานลูกค้าด้วยกำลังที่พอเพียงแล้วจึงค่อยๆ รุกออกไป
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายสาเหตุที่ทำให้กิจการร้านดอกไม้อาจจะสะดุดไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง เช่น หุ้นส่วนขัดคอกันเอง ในกรณีที่คุณไม่ได้ลงทุนเองทั้งหมด เพราะต่างคนก็ต่างความคิดเห็น มีความอดทนน้อย โดยเฉพาะในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ดอกไม้เป็นสิ่งฟุ่มเฟือย ผู้ประกอบการควรมีความอดทนที่จะรอลูกค้า หรืออดทนต่อความต่างจิตต่างใจของลูกค้า ปิดร้านบ่อยเพราะไม่มีคนช่วย รวมทั้งไม่มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ประเภทหน้าตาบอกบุญไม่รับอยู่ตลอดเวลา สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุที่ทำให้ร้านดอกไม้เตรียมปิดประตูเจ๊งได้เลย ตรงกันข้ามกับร้านดอกไม้ที่มีการวางแผนและดำเนินการที่ดี โอกาสที่จะเจริญก้าวหน้านั้นย่อมมีสูงกว่าอย่างแน่นอน
การจะบริหารจัดการร้านดอกไม้อย่างไรให้ประสบความสำเร็จ ก่อนอื่นผู้ประกอบการควรรู้จักบริหารสินค้าภายในร้านก่อน ซึ่งก็คือ ดอกไม้ นั่นเอง จะว่าไปแล้วผู้ประกอบธุรกิจจำนวนไม่น้อยประสบปัญหาเรื่องการสต็อกดอกไม้ เนื่องจากเมืองไทยมีสภาพอากาศร้อน จึงส่งผลให้ดอกไม้มีอายุการเก็บรักษาที่สั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้ประกอบการจึงไม่ควรสั่งซื้อดอกไม้มาไว้ในปริมาณมากเกินไป จะทำให้ดอกไม้ไม่สดและเน่าเสียได้ เป็นการเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายให้สูงขึ้นอีกด้วย
โดยทั่วไปลูกค้าส่วนใหญ่มักจะสั่งซื้อดอกไม้ล่วงหน้า แต่มีอยู่หลายรายที่เดินเข้าไปในร้าน แล้วสั่งซื้อดอกไม้เลย จุดนี้เป็นปัญหาใหญ่ในการบริหารสินค้า เพราะถ้าผู้ประกอบการสั่งซื้อดอกไม้ไว้ไม่เพียงพอกับความต้องการ ก็ทำให้เกิดปัญหาได้อีกเช่นกัน
เทคนิคการบริหารสต็อกของดอกไม้คือ โดยเฉลี่ยแล้วผู้ประกอบการควรไปเลือกซื้อดอกไม้เองอาทิตย์ละครั้ง เพราะสามารถตรวจสอบว่าดอกไม้ที่ต้องการใช้นั้นควรซื้อ ปริมาณเท่าใด และถ้าไม่มีการสั่งจากลูกค้าล่วงหน้า ควรเลือกซื้อดอกไม้ที่สดและเลือกดอกที่ยังตูม เพื่อที่จะอยู่ได้นานๆ เผื่อลูกค้ามาช้าหรือยังไม่มีใครมาซื้อ แต่ถ้ามีออเดอร์อยู่แล้ว สามารถเลือกดอกที่แย้มสวยมาได้เลย และควรเลือกดูหลายๆ ร้านที่คิดว่าถูกใจที่สุด
จากนั้นมาสู่ขั้นตอนการผลิต ก่อนอื่นผู้ประกอบการควรทราบวัตถุประสงค์ของลูกค้า ดังต่อไปนี้
- เนื่องในโอกาสอะไร เช่น แสดงความรัก แสดงความยินดี แสดงความเสียใจ เป็นต้น
- ลูกค้ามีงบประมาณในการจัดเท่าใด
- ผู้รับมีความสำคัญแค่ไหน เช่น เป็นคนในครอบครัว เป็นเพื่อน เป็นคนรัก เป็นต้น
- ลูกค้าต้องการดอกไม้แบบไหน สีอะไร ถ้าเป็นผู้หญิงจะใช้ดอกไม้สีหวานๆ เช่น สีชมพู สีส้มอ่อน ฯลฯ ถ้าเป็นผู้ชายจะใช้ดอกไม้สีสดใส เช่น สีฟ้า สีเหลือง เป็นต้น
โดยก่อนที่จะเริ่มลงมือจัดดอกไม้ ผู้ประกอบการควรวางรูปแบบการจัดไว้ล่วงหน้าก่อน เพื่อย่นระยะเวลาการจัดให้เร็วขึ้น และควรพัฒนารูปแบบสินค้าให้มีความแปลกใหม่อยู่ตลอดเวลา ทั้งนี้เพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง อาจมีแคตตาล็อกช่อดอกไม้สวยๆ ไว้ให้ลูกค้าเลือกในกรณีที่ลูกค้ายังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเลือกใช้ดอกไม้อะไร รูปแบบไหน อีกทั้งดอกไม้ที่ใหม่และสดตลอดเวลา การบรรจุภัณฑ์ที่สวยงามกลมกลืนกับดอกไม้เสมือนเป็นส่วนเดียวกัน ย่อมทำให้ลูกค้าพึงพอใจ และการจัดส่งดอกไม้ถึงผู้ที่ต้องการให้จัดส่ง ถือเป็นการบริการที่สร้างความประทับใจให้แก่ลูกค้าได้ทางหนึ่ง
ทั้งนี้สิ่งหนึ่งที่ผู้ประกอบการร้านดอกไม้ไม่ควรมองข้ามก็คือ การทำตลาดเชิงรุกเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้ามากขึ้น เช่น การนำเสนอรูปแบบของสินค้าไปที่สำนักงานของลูกค้า ตามโรงแรมเล็กๆ (ถ้าเราเป็นร้านขนาดเล็ก) รวมไปถึงพวกรีสอร์ทหรือสปาต่างๆ ด้วยการเข้าไปเสนองานว่าภายในหนึ่งอาทิตย์จะขอเข้ามาจัดดอกไม้ 2–3 ครั้ง หรือขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกค้า แล้วก็คิดราคาลูกค้าไม่แพงจนเกินไป เพื่อที่เราจะได้ลูกค้าประจำ ลูกค้าประเภทนี้ยิ่งได้หลายแห่งยิ่งดี เผลอๆ อาจมีงานนอกสถานที่
เพิ่มขึ้น โดยใช้ลูกค้าเป็นสื่อกลางซึ่งสร้างความเชื่อถือต่อลูกค้ารายใหม่ ในลักษณะ Word of Mouth เป็นการขยายฐานลูกค้าไปในตัว ส่วนลูกค้าประจำก็ขอเบอร์โทรศัพท์ไว้ พอมีเทศกาลหรือโปรโมชั่นอะไรก็ส่ง SMS ไป เป็นต้น
นอกจากนี้ผู้ประกอบการควรจัดร้านให้ดูทันสมัย สะอาด มองแล้วสบายตาและสื่อถึงความเป็นตัวเองให้มากที่สุด ซึ่งไม่จำเป็นต้องโอ่อ่าหรูหรา หากไม่ใช่ร้านขนาดใหญ่ แต่การจัดหน้าร้านควรต้องบอกลูกค้าที่ผ่านไปมาให้ได้ว่า ร้านเราจัดดอกไม้สไตล์นี้ จัดได้กี่แบบ ขนาดไหน เช่น มีการจัดกระเช้าผลไม้ด้วย มีตุ๊กตาหมีบริการพร้อมดอกไม้ หรือมีขนมนมเนย และอีกหลายๆ อย่างที่เราต้องการสื่อให้ลูกค้ารับรู้ ด้วยการโชว์ไว้ที่หน้าร้านพอประมาณ และการจัดโชว์ดอกไม้ควรเปลี่ยนรูปแบบอยู่เสมอ เพื่อดึงดูดความสนใจจากลูกค้า
ในเรื่องของ บุคลากร ก็เป็นสิ่งสำคัญ ดังที่กล่าวข้างต้นเกี่ยวกับปัญหาของลูกจ้างจากจุดเล็กๆ อาจลุกลามกลายเป็นปัญหาใหญ่ได้ ฉะนั้นการจ้างพนักงานขึ้นอยู่กับขนาดของธุรกิจว่าเป็นขนาดเล็ก กลาง หรือใหญ่ ถ้าธุรกิจรับจัดดอกไม้ทำภายในครอบครัว ไม่จำเป็นต้องจ้างพนักงาน แต่ถ้าเป็นร้านรับจัดดอกไม้โดยทั่วไป ผู้ประกอบการควรมีพนักงานไว้คอยช่วยเตรียมวัสดุอุปกรณ์การจัดดอกไม้ประมาณ 1 คน ส่วนการคัดเลือกพนักงานนั้น ควรเลือกคนที่มีความซื่อสัตย์ ละเอียดรอบคอบ ฝีมือประณีต และมีใจรักในด้านงานจัดดอกไม้ เพราะการจัดดอกไม้เป็นงานศิลปะอย่างหนึ่งที่ต้องใช้ฝีมือและความประณีตอย่างมาก ต้องสามารถจัดได้ทุกรูปแบบตามความต้องการของลูกค้าที่มาใช้บริการ
จะว่าไปแล้วอาชีพการจัดดอกไม้เป็นการขายดอกไม้และฝีมือควบคู่กันไป เพราะผู้จัดจะคิดค่าฝีมือเท่ากับครึ่งหนึ่งของราคาดอกไม้พร้อมวัสดุประกอบ ดังนั้นผู้จัดดอกไม้ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการเองหรือพนักงานที่จ้างมา ควรศึกษาค้นคว้ารูปแบบต่างๆ ของการจัดดอกไม้ และควรคิดรูปแบบใหม่ๆ ขึ้นมา หรือดัดแปลงจากรูปแบบเดิมให้เป็นแบบใหม่ครั้นเมื่อออกแบบหรือคิดแบบได้แล้ว ขั้นต่อไปก็คือต้องใช้ฝีมือและความเชี่ยวชาญในการจัดดอกไม้ได้อย่างละเอียดอ่อน ประณีตสวยงามเป็นที่พึงพอใจของลูกค้า
สุดท้ายเพื่อไม่ให้เกิดการรั่วไหลในเรื่องของเงินทอง ผู้ประกอบการควรทำบัญชีอย่างง่ายๆ เพื่อบันทึกข้อมูลของตัวเลขต่างๆ ที่เกี่ยวกับรายจ่ายและรายรับของการจัดดอกไม้ของแต่ละวัน เพื่อจะได้รู้ว่าแต่ละวันขาดทุนหรือได้กำไรกี่บาท ตัวเลขต่างๆ ที่ควรบันทึกไว้ในบัญชี ได้แก่ ค่าซื้อดอกไม้ใบไม้ และอุปกรณ์ประกอบการจัดดอกไม้ ค่าแรงงาน ค่าเช่าค่าน้ำ ค่าไฟ ฯลฯ ด้านรายรับแต่ละวันต้องเขียนไว้ เช่น
ขายได้กี่ช่อ ช่อละกี่บาท รับจัดดอกไม้นอกสถานที่ได้เงินเท่าไร และรวมเป็นเงินเท่าไร โดยทำบัญชีสรุปรายรับ–รายจ่ายของแต่ละวันเป็นตัวเลขกำไรหรือขาดทุนกี่บาท
การทำบัญชีดังกล่าวจะช่วยให้ผู้ประกอบการวิเคราะห์และรู้ได้ว่าควรจัดดอกไม้ในรูปทรงแบบใด ใช้ดอกอะไรจึงจะขายได้มีกำไร (ในกรณีที่ลูกค้าไม่ได้กำหนดว่าให้จัดรูปทรงใดและดอกอะไร) ควรจะลดต้นทุนโดยวิธีใดบ้าง ถ้าราคาขายต่ำลงหรือราคาถูกลงแต่ปริมาณและคุณภาพยังเท่าเดิม จะทำให้ยอดขายสูงขึ้น เมื่อยอดขายสูงขึ้นย่อมทำให้เจ้าของร้านดอกไม้มีรายได้สูงตามไปด้วยนั่นเอง
คุณสมบัติของผู้ประกอบการร้านดอกไม้จะต้องรู้จักพัฒนาตัวเอง พัฒนาความคิดตลอดเวลา โดยการศึกษาจากหนังสือหรือไปดูงานตามสถานที่จัดนิทรรศการที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงหมั่นเข้าร้านดอกไม้ และสังเกตหาข้อมูลว่าร้านดอกไม้อื่นทำกันอย่างไร ผู้ประกอบการพึงระลึกไว้เสมอว่าผู้จัดดอกไม้ที่ดีควรใช้ประโยชน์จากวัตถุดิบทุกชิ้นให้มีคุณค่าสูงสุด และไม่เหลือทิ้งโดยเปล่าประโยชน์
ที่มา : เปิดร้านดอกไม้ สร้างเงินล้าน รวยได้ทุกเทศกาล สนพ. พีเพิลมีเดียบุ๊ค
หน้าที่เข้าชม | 29,981 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 22,644 ครั้ง |
เปิดร้าน | 25 ม.ค. 2559 |
ร้านค้าอัพเดท | 25 มิ.ย. 2568 |